ข้อมูล
น้ำหนัก
บาร์โค้ด
ลงสินค้า
อัพเดทล่าสุด
รายละเอียดสินค้า

 

 

ความรู้เรื่องโสม
   
ชาวจีนนิยมให้ความสำคัญกับการใช้สมุนไพรจีนโบราณ (TCM:Traditional Chinese Medicine)ในการดูแลสุขภาพมากกว่าการรักษาโรคแฉกเข่นเดียวกับการที่ชาวตะวันตกใช้วิตามิน,เกลือแร่,ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือสมุนไพรต่างๆสารที่สกัดได้จากพืชสมุนไพรและมีผลดีต่อสุขภาพมีมากมาย อาทิ คาโรทีนอยด์(Carotenoids),ฮอร์โมนเอสโตรเจนจากพืช(Phytoestrogen),สารคล้ายยางที่เรียกว่า ลิกแนน(Lignan),ฟลาโวนอยด์(สารรสฝาดจากพืช เช่น เมล็ดองุ่น) หรือไบโอฟลาโวนอยด์(สารที่ได้จากเส้นใยรอบผลส้ม),ไอโฮไธโอไซยาเนท,อินโดล(Indole),และสารอัลเลี่ยม(สารที่พบในกระเทียม)

     สมุนไพรโสมซานชี(Panax notoginseng)จัดเป็นสมุนไพรจีนโบราณที่มีสาระสำคัญคือ ไตรลินโนเลอีน(Trilinolein)ซึ่งถูกนำมาใช้บรรเทาอาการบกพร่องของระบบไหลเวียนโลหิตและหลอดเลือดรวมทั้งกล้ามเนื้อหัวใจมานานหลายร้อยปี
    ไตรลินโนเลอีน มีโครงสร้างทางเคมีประกอบด้วยกรดลินโนเลอิก(Linoleic Acid)ซึ่งเป็นกรดไขมัน(Fatty acid)ที่อยู่ปลายสายโซ่ทั้ง 3 ของ กลีเซอรอล
    ไตรลินโนเลอีน มีผลดีต่อร่างกายหลายประการ คือ ลดจำนวนเม็ดเลือดแดงที่บกพร่องหรือเสียคุณสมบัติในการนำออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆของร่างกาย(Erythrocyte deformability),ป้องกันการแข็งตัวและการอุดตันของเกล็ดเลือดในหลอดเลือด(Platelet aggregation),ป้องกัน หรือลดอัตราการเกิดสภาวะหัวใจหยุดเต้น(Antianythmic rffect)และยังมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอย่างแรง
    สรุปได้ว่า ไตรลินโนเลอีน ที่สกัดได้จากสมันไพรโสมซานชีมีผลดีต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด 
    มีการทดลองต่างๆมากมายเพื่อสนับสนุนผลของไตรลินโนเลอีน ต่อร่างกายทั้งวนร่างกายมนุษย์ ในสัตว์ทดลองและในหลอดแก้ว
    ผลป้องกันหัวใจหยุดเต้น (Antiarrhythmic Effects)มีการทดลองต่างๆที่เกี่ยวกับสมดุลเกลือแร่ โซเดียม/ โปตัสเซียมและเกลือแร่แคลเซียม ซึ่งเมื่อกล้ามเนื้อหัวใจได้รับไตรลินโนเลอีนจะทำให้เกิดสมดุลเกลือแร่เหล่านี้และลดอาการเต้นอย่างกระชากของกล้ามเนื้อหัวใจ(Tachycardia)

 

ผลปกป้องไม่ให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย
    ทดลองโดยดูผลจากหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจดูการป้องกันการหดตัวของหลอกเลือดแดงหลังจากให้ ไตรลินโนเลอีนในผู้ป่วยขณะเกิดสภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายได้ผลเป็นที่น่าพอใจอธิบายกลไหการออกฤทธิ์ได้ว่าไตรลินโนเลอีน มีผลต่อเซลล์ที่ช่วยชะลอความแก่ของเซลล์ ไตรลินโนเลอีน ลดอัตราการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายได้สูงถึง 37%  

   นอกจากนี้ยังลดความบกพร่องหรือความพิการของเม็ดเลือกแดง โดยเพิ่มความยืดหยุ่นของผนังเซลล์ของเม็ดเลือดแดง(Membrane Flexibililty)โดยทำการทดลองในผู้ป่วยที่ต้องการทำการผ่าตัด Bypass ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
    ไตรลินโนเลอีน ยังมีผลต่อหลอดเลือดใหญ่(Large vessel)โดยทำให้หลอดเลือดคลายตัว(Vasorelaxant)โดยผ่านระบบการสร้างพลังงานเพื่อให้เกิดความสามารถในการคลายตัวของเลือด
      ผลต่อการลดการแข็งตัวของเกล็ดเลือด(Platelet aggregation)ซึ่งส่งผลต่อการอุดตันของหลอดเลือดนั้น พบว่า ไตรลินโนเลอีนไปเพิ่มปริมาณของไนตริกออกไซด์ในเกล็ดเลือด ทำให้เกล็ดเลือดไม่แข็งตัว คล้ายผลของ กรดอะมิโนอาร์จินีน(Arginnine)
      กลไกการออกฤทธิ์อีกประการของ ไตรลินโนเลอีนต่อการป้องกันกล้ามเนื้อหัวใจตาย คือ การเพิ่มความชุ่มชื้น (Fluidity)ของผนังเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ

 

ฤทธิ์ไนการเป็นสารต่านอนุมูลอิสระ(Antioxidant)
    สารต้านอนุมูลอิสระจะป้องกันไม่ให้อนุมูลอิสระ(ออกซิเจนที่ขาดคู่อีเล็กตรอนทำให้ไม่อยู่ตัว)ไปเปลี่ยนไขมันดี(โดยแย่งอีเล็กตรอนจากไขมันดี)ให้กลายแป็นไขมันเลวละอุดตันในหลอดเลือด
      ไตรลินโนเลอีน มีคุณสมบัติเป็นสารที่สามารถให้อิเล็กตรอนที่อยู่ในเลือด(Serum Colesterol)จึงเป็นการลดความเสี่ยงของการที่ คลอเรสเตอรอลจะถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระเช่นกัน
      
สรุปได้ว่า ไตรลินโนเลอีน ที่สกัดได้จากสมุนไพรโสมซานชีมีผลดีต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพดดยยืนยันจากผลการทดลองและความนิยมบริโภคโสมซานชีเพื่อบำรุงหัวใจที่มีมานานหลายร้อยปี

 

ข้อแนะนำเรื่องโสม
     ทำไมแหล่งเพาะปลูก วิธีการจัดการและคุณสมบัติย่อมต่างกันไปได้ ดังตัวอย่างให้เห็นชัดๆว่า โสมแดงและโสมขาวในท้องตลาด ซึ่งโสมทั้ง 2 ตัว ถือเป็นสายพันธุ์เดียวกันแต่คุณภาพและราคาของโสมแดงจะดีกว่าโสมขาวเพราะโสมแดงจะปลูกในพื้นที่ราบสูงมีอายุ 6 ปี ถึงจะเก็บเกี่ยวได้ จะมีสารออกฤทธิ์ที่สูงกว่า ใช้วิธีการอบแห้ง การรักษาคุณภาพของโสมสีส้มออกแดง ส่วน โสมขาวจะปลูกในที่ราบต่ำ อายุ 4 ปีเก็บเกี่ยวได้ คุณภาพต่ำกว่า ราคาถูกกว่า 
      จากข้อความดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า ถึงแม้จะเป็นโสมชนิดเดียวกันก็ต่างกันออกไปได้ ดังเช่น ทำไมต้องเป็น โสมซานชีของ เหวินซานโจวเท่านั้น
 

ผลของการปลูกพืชสมุนไพรชนิดเดียว
       พื้นที่เพาะปลูกที่คำนึงถึงผลผลิตทางการค้าเพื่อหวังผลกำไรอย่างเดียวโดยไม่ได้คำนึงถึงคุณภาพในปัจจุบันมีมาก บางพื้นที่ต้องปรับสภาพดินเพื่อเพาะปลูกโสมได้ใหม่ ต้องใช้เวลา 10-12ปีแต่พ่อค้าบางคนกลับมาใช้ในระยะเวลา 2 ปี เช่น ในรัสเซีย หรือที่ประเทศเกาหลีบางพื้นที่ มักจะพบปรากฏการณ์ของรากโสมเน่าเปื่อยอยู่เป็นประจำ ซึ่งการปรับพื้นที่ที่จะเพาะปลูกเฉพาะ บางที่ก็มีการใช้สารเคมียาฆ่าแมลงก็มี
    ดังนั้นสารตกค้างของยาฆ่าแมลงในโสมอาจจะมีหลงเหลือ เวลาเรามีการซื้อบริโภคการสอบถามถึงแหล่งเพาะปลูกรวมถึงกรรมวิธีการผลิต ผู้เขียนไม่แนะนำให้ซื้อสินค้าราคาถูกแต่ไม่มีการสอบถามถึงแหล่งผลิตที่ได้มาตรฐาน GAP กรรมวิธีการผลิตที่ได้มาตรฐาน GMP รวมถึงคุณค่าที่ควรมีในผลิตภัณฑ์โสมนั้นๆจากประสบการณ์ ผลิตภัณฑ์โสมบางชนิดยังขาดสาร Active (Saponins) ด้วยซ้ำไป
 

โสมบำรุงชนิดน้ำ
    ในผลิตภัณฑ์โสมทั้งหมดถือว่าชนิดน้ำมีมากและแพร่หลายในตลาดแต่สาร Active(Saponins หรือ สารออกฤทธิ์)มีน้อยมากกว่าส่วนใหญ่จะเป็น Alcohol(แอลกอฮอล์)รวมอยู่ด้วย ดังนั้นการพิจารณาถึงคุณค่าทางโภชนาการ ก่อนจะซื้อบริโภค จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

 

ข้อควรพิจารณาในการบริโภคโสม
    เมื่อมีการซื้อผลิตภัณฑ์โสมควรคำนึงถึงปริมาณที่ต้องบริโภคแต่ละชนิดว่า จะได้สารและคุณค่าทางโภชนาการเท่าไหร่ ตามหลักการควรใช้ผลิตภัณฑ์โสม 100% จะดีที่สุดนั้นหมายถึงไม่ควรมีการเติมแต่งกลิ่น รส หรือ แต่งเติมสมุนไพรอื่นๆปะปนอยู่ด้วย
    โสมคุณภาพที่ดีควรมีสาร Saponins ที่สูง คุณภาพจะได้ดีที่สุด ซึ่งการมีสารอื่นหรือสมุนไพรอื่นรวมอยู่ด้วยกลับลดคุณภาพของโสมลงโดยใช่เหตุ
 

เคล็ดลับในการเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์โสม
    แต่ก่อน ราคาของโสมแพงมากกว่าทองคำ แต่ ณ ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่ามากกว่าทอง กลับไม่ใช้โสมเพราะนักวิชาการแขนงต่างๆมากมายรวมถึงสินค้าผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายทำให้ผู้บริโภคสับสน คุณภาพของโสมก็มีมากมายหลายระดับ โสมที่มีคุณภาพสูงในท้องตลาดน้อยที่จะพบเห็น ถึงแม้จะซื้อได้แต่คนที่ไม่มีความเข้าใจในเรื่องโสมย่อมยากที่จะพิจารณาเลือกซื้อสินค้าคุณภาพได้ ถึงแม้สิ่งที่มองไม่เห็นว่าเป็นโสมร้อยเปอร์เซ็นต์

 

ความแตกต่างของโสมแต่ละชนิด
    ปัจจุบันทั่วโลกได้มีการเพาะปลูกโสมชนิดต่างๆ โสมที่รู้จักกันดี ได้แก่ โสมซานชี,โสมจีน,โสมเกาหลี,(โสมคน),โสมญี่ปุ่น,โสมไทย,โสมรัสเซียหรือโสมแคนาดา คุณภาพของโสมแต่ละชนิดขึ้นอยู่กับ ชนิดของโสมและพื้นที่เพาะปลูกของโสมต่างกันไป ย่อมส่งผลถึงคุณค่าของโสมแน่นอน ถึงแม้จะนับอยู่ในพืชไม้เถา(araliaceac)เช่นกัน แต่ชนิดของโสมต่างกัน การใข้ต่างกันย่อมมีคุณค่าที่ต่างกันไป ซึ่งคนส่วนใหญ่จะขาดความเข้าใจที่แท้จริงในเรื่องนี้มักเหมารวมว่าถ้าเป็นโสม คือ สิ่งที่มีค่า ซึ่งบิดเบือนประวัติศาสตร์โสมที่ได้มีการบันทึกในตำรับชาววังของแพทย์แผนจีนโดยสิ้นเชิง
Saponins(สารออกฤทธิ์ในโสม)
    ประมาณปี 1960 นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มของมอสโค รัสเซีย ได้ค้นพบว่าโสมคนมีส่วนผสมบางอย่างซึ่งคล้ายกับคุณภาพทางเคมี จึงได้ขื่อว่า “Saponins” Saponins มีสาระสำคัญ 2 ประการ คือ ประการแรก มีคุณสมบัติในการล้างทำความสะอาดเลือด เหมือนฟองสบู่ที่ชำระล้างร่างกายให้สะอาด ประการที่สอง คือ มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก ว่า Sapo มีความหมายว่าเกิดฟองมีลักษณะคล้ายฟองสบู่ เพียงแต่นำผงโสมใส่ลงในน้ำและเขย่าจะเห็นฟองสีขาวเกิดขึ้น ซึ่งเหมือนกับปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นกับฟองสบู่ในน้ำ

 

ผลิตภัณฑ์โสมชนิดต่างๆ
    คุณสมบัติของโสมชนิดต่างๆมีอยุ่มากมาย ถ้าจะแยกแยะออกมา รวมถึงกรรมวิธีการผลิตและการสกัด ก็หลากหลายเช่นกัน ไม่ใช่คุณภาพของสินค้าและเนื้อตามลักษณะบรรจุภัณฑ์ของสินค้าจะเหมือนกันตลอด เมื่อเราจะตัดสินใจบริโภคสินค้า ในการสอบถามถึงพื้นที่ผลผลิตกรรมวิธีในการผลิต สรประกอบ Active (สารอาหารที่ให้คุณค่า) ชนิดสายพันธุ์ และเวลาการเก็บรักษาของโสมชนิดนั้น ซึ่งทั้งหมดส่งผลถึงคุณภาพของโสมนั้นโดยตรง

 

โสมซานชี SANCHI (SANQI)
    ในตำราสมุนไพรจีนดั้งเดิมได้มีการบันทึกไว้ว่า โสมคน บำรุงธาตุที่หนึ่ง ซานชี บำรุงเลือดที่หนึ่ง รสชาติเหมือนกัน มีคุณลักษณะคุณค่าที่คล้ายกันจึงผนวกเรียกว่า โสมซานชี ถือเป็นสมุนไพรที่มีคุณค่าที่สุดชนิดหนึ่งของจีน
    โสมซานชี(Panax Notoginseng (Burk)F.H.Chen)จัดเป็นพืชในตระกูลไม้เถา(Araliacear)(อ่านว่า อะราลิเอซี)มีชื่อมายาวนานไม่ว่าจะเป็นยาหรืออาหาร ได้รับสมญานามยกย่องหลายอย่าง เช่นราชาแห่งพืชตระกูลโสม”,”สมุนไพรมหัศจรรย์แห่งดินแดนใต้”,”ทองนพคุณ”(เอาทองมาแลกก็ไม่เปลี่ยน),”เถียนซีทุกส่วนของโสมล้วนมีค่าไม่ว่า กิ่ง,ดอก,ผล,ใบ มีค่าทางยาและอาหารเสริม
    ยูนนานเหวินซานโจว ถือเป็นบ้านเกิด โสมซานชี ในจีน เป็นแหล่งเพาะปลูกหลักและประเทศจีนได้จัดให้เป็นพืชที่อนุรักษ์ในการเพาะปลูกโสม

 

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากโสม
    ปัจจุบันมีผู้นอยมนำโสมมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกันจำนวนมากจึงควรพิจารณาถึง คุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ชนิดนั้นๆก่อนการบริโภค
   
โสมที่ดี ดังที่กล่าวข้างต้นว่า โสมที่ดีนั้นจะต้องมีคุฯภาพดีได้มาตรฐาน GAP 
    1.เริ่มจากการเพาะปลูก พื้นที่เพาะปลูกจะต้องดี อุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุ ไม่มีสารพิษมีอากาศแสงแดดที่เหมาะสม ที่ได้มาตรฐาน GAP(GOOD AGRICULTURAL PRACTICES)
      2. โสมที่มีคุณภาพดี จะต้องมีสารออกฤทธิ์ (Saponins)สูง
 

ผลิตภัณฑ์โสมที่ดี
    จะต้องผลิตจากโสมที่ดี และกระบานการผลิตต้องได้มาตรฐาน GMP (GOOD MANUFACTURING PRACTICES)
    1.คัดเลือกวัตถุดิบ คือโสมที่ดี อายุพอเหมาะแก่การนำมาใช้ทำผลิตภัณฑ์
    2.สูตร และส่วนผสมที่ดีพอเหมาะ
    3.โรงงานและการควบคุมการผลิตที่ได้ มาตรฐาน GMP
    4.ไม่ควนเติมแต่ง กลิ่น รส หรือเติมสารใดๆเข้าไปปะปน เพราะจะทำให้คุณภาพของโสมลดลง
    5.ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ทำจากโสมไม่ควรมี
        -สารกันบูดเจือปน
        -แอลกอฮอล์เจือปน
        -สมุนไพรอื่นๆเจือปน
    หากจะปรุงแต่งรสให้บริโภคได้ง่ายขึ้นควรนำน้ำผึ้งผสมเพราะจะช่วยให้บริโภคได้ง่ายขึ้น(รสหวาน)และเพิ่มประโยชน์มากยิ่งขึ้น


โสมที่ดีต้องมีฟอง
    ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่าโสมที่ดีนั้นจะต้องมีสารออกฤทธิ์ที่มีชื่อว่า ซัพโพนิน(Saponins)มีคุณสมบัติละลายได้ในน้ำและน้ำมัน สามารถทำให้หลอดเลือดขยายตัวเพราะมันสามารถล้างคอลเลสเตอรอลออกจากผนังหลอดเลือดและมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคอ่อนๆซึ่งในโสม”(Ginseng)ที่มี Saponins ได้ต้องดูจากฟอง จึงกล่าวได้ว่า โสมดีต้องมีฟอง
    สำหรับผลิตภัณฑ์โสมชนิดน้ำที่เขย่าแล้วมีฟองน้อยหรือไม่มีฟองแสดงว่ามีสาร Saponins น้อยหรือไม่มี ดังนั้นหากเราจะดูว่าผลิตภัณฑ์โสมชนิดน้ำจะมีคุณภาพดีหรือไม่จึงต้องดูจากว่ามีสาร ซัพโพนิน(Saponins)หรือไม่ ซึ่งเบื้องต้นจึงต้องดูจากการเป็นฟองของผลิตภัณฑ์ชนิดนั้นๆ

 

น้ำผึ้ง (HONEY)
    น้ำผึ้ง  เป็นที่เชื่อถือยอมรับกันมานานแล้ว  ตั้งแต่สมัยโบราณกาล  ว่าเป็นอาหารชั้นหนึ่งสำหรับมนุษย์  มีคุณค่าทางอาหารและทางยาสูง  เป็นยาอายุวัฒนะ  และบำรุงกำลัง  แม้ในตำราไทยน้ำผึ้งยังใช้กันอย่างแพร่หลาย
    “น้ำผึ้ง”  เป็นน้ำหวานที่ตัวผึ้งเก็บจากน้ำต้อย(Nectar)  ของดอกไม้  แล้วเอามาสะสมไว้ในรวงผึ้ง(Bee Hives)  เพื่อเลี้ยงผึ้งตัวอ่อน  ในรวงผึ้งอาจมีทั้งน้ำผึ้ง(Honey)  ขี้ผึ้ง(Beeswax)  นมผึ้ง(Royal Jelly)  เกสรผึ้ง(Bee Pollen)  และการผึ้ง(Bee Propolis)  
    ผึ้งเป็นแมลงที่ชอบทำรังอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม  จัดอยู่ในวง  Aprdae  ผึ้งที่ให้น้ำผึ้งมีหลายชนิดที่สำคัญ  ได้แก่
    1. ผึ้งฝรั่ง  หรือ  ผึ้งพันธุ์  (Common Honey Bees)  มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า  Apis  เป็นผึ้งที่เลี้ยงกันทั่วไป  มีถิ่นกำเนิดอยู่ในซีกโลกตะวันตก
    2. ผึ้งหลวง  หรือ  ผึ้งเขา  (Giant Honey Bees) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า  Apis Dorsata Fabr  หรือ  Apis Zonata Smith  มีถิ่นกำเนิดในโลกตะวันออก  เช่น  อินเดีย  พม่า  ไทย  ผึ้งชนิดนี้มีรวงผึ้งขนาดใหญ่  ให้น้ำผึ้งจำนวนมาก
    3.  ผึ้งโพรง  หรือ   ผึ้งโก๋น(Eastern Honey Bees)  มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า  Apis Serana Fabr  เป็นผึ้งที่เลี้ยงกันมากในประเทศจีน  และภาคเหนือของประเทศจีน
    4.  ผึ้งมิ้ม  (Little Honey Bees)  มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า  Apis Florea Fabr  ชอบทำรังขนาดเล็กตามกิ่งไม้ที่มีร่มเงา
รัง ผึ้งแบ่งเป็น  2  ตอน  ตอนบนเป็นที่เก็บสะสมน้ำผึ้ง  ส่วนตอนล่างเป็นที่อยู่อาศัยในรังหนึ่งจะมีผึ้งอยู่ประมาณ  10,000-50,000 ตัว  แต่ละรังจะมีผึ้งนางพญา  (Queen Bee)  เพียงตัวเดียว  ทำหน้าที่วางไข่ที่จะเจริญเป็นตัวผึ้งสำหรับทำหน้าที่ต่างๆ  ผึ้งนางพญาจะมีอายุประมาณ  3  ปี
    น้ำต้อย  หรือน้ำหวานที่ผึ้งงานดูดจากดอกไม้ส่วนมากจะองค์ประกอบเป็นน้ำตาลทราย(Sucrose)  เมื่อผ่านลำคอของตัวผึ้ง  จะถูกน้ำย่อยแปร  (Enzyme Invertase)  ซึ่งอยู่ในน้ำลายผึ้งย่อยให้เป็นน้ำตาลแปร  (Invert Sugar)  คือ  น้ำตาลองุ่น  (Dextrose)  กับน้ำตาลผลไม้  (Fructose)  ก่อนที่จะถูกเก็บไว้ในถุงเก็บน้ำผึ้ง  (Honey Sac)  ในตัวผึ้ง


ชนิดของน้ำผึ้ง ตามแหล่งที่มา คือ
    1.น้ำผึ้งป่า  คือ  น้ำผึ้งที่ได้จากรวงผึ้งที่อาศัยอยู่ในป่าตามธรรมชาติ  หาน้ำหวานมาจากพืชป่า  พืชสมุนไพร  เกสรดอกไม้นานาพรรณ  และสมุนไพรนานาชนิด  ถือว่าเป็นน้ำผึ้งที่มีคุณค่าทางอาหาร  และยาที่ดีที่สุด
    2.น้ำผึ้งบ้าน  หรือ  น้ำผึ้งเลี้ยง  คือ  น้ำผึ้งที่ได้จากรวงผึ้งที่มนุษย์นำมาเลี้ยง  หาน้ำหวานมาจากดอกไม้จากไร่  สวนผลไม้  เช่น  ลิ้นจี่ ลำไย  เงาะ   ลางสาด  ดอกมะพร้าว  เป็นต้น  ถือว่าเป็นน้ำผึ้งที่มีคุณค่าด้อยกว่าน้ำผึ้งป่า


น้ำผึ้งธรรมชาติเป็นของเหลวข้น  ที่ได้จากรวงผึ้ง  มีองค์ประกอบที่สำคัญดังนี้
    1.น้ำตาล
        -น้ำตาลฟรุคโตส  (Fructose or Levulose) จำนวน 38.90%
        -น้ำตาลกลูโคส  (Glucose) จำนวน  31.28%
        -น้ำตาลซูโครส  (Sucrose) จำนวน  1.01%
        -น้ำตาลมอลต์โตส  (Glucose) จำนวน  7.31%
        -น้ำตาลอื่นๆ จำนวน                                  1.50%
    2.วิตามิน
        -วิตามินบีรวม  (Vitamin B 1,2,3,5,5,9)
        -วิตามินเอ  (Vitamin A)
        -วิตามินซี  (Vitamin C)
        -วิตามินอี  (Vitamin E)
        -วิตามินเค  (Vitamin K)
    3.กรดอะมิโน  (Amino Acid)  มีประมาณ  18  ชนิด
    4.เอนไซม์  (Enzyme)  มี  Invertase, Amylase, Glueose Oxidase Eatalase, Acid Phosphatase
    5.เกลือแร่  (Mineral)  มีเหล็ก  ทองแดง  แมงกานีส  ซิลิคอน  แคลเซียม  โซเดียม  โปแตสเซียม  อะลูมิเนียม  กำมะถัน  คลอรีน  และโบรมีน
    อย่างไรก็ดีสารอาหารดังกล่าวนั้นขึ้นอยู่กับอาหาร  หรือเกสรดอกไม้ที่ผึ้งดูดกินเป็นสิ่งสำคัญ


คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง
    1.หลักเภสัชกรรมไทย  “น้ำผึ้งมีรสหวาน  มีสรรพคุณบำรุงกำลัง  แก้สะอึก  แก้ไข้ตรีโทษ  เป็นยาอายุวัฒนะ  ใช้เป็นกระสายยา
    2.ผลทางการแพทย์
        -เป็นยาระบาย  ในการทดลองทางวิทยาศาสตร์พบว่า  ผู้ที่ดื่มน้ำผึ้งจะมีอุจจาระเหลวกว่าคนที่ไม่ดื่มน้ำผึ้ง  สรุปได้ว่า  น้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ
        -เป็นยาแก้ท้องเสีย  ในการทดลองทางวิทยาศาสตร์พบว่า  น้ำผึ้งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย  ในทางเดินอาหาร  สรุปได้ว่า  น้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยาแก้ท้องเสีย
        -เป็นยานอนหลับอย่างอ่อน
        -ใช้ทาสมานแผล  และแผลเรื้อรัง
        -ใช้ทาผิวหนังอักเสบ  ผื่นคัน
        -ใช้เป็นยาแก้โพรงจมูกอักเสบ  เยื่อจมูกอักเสบ
        -ใช้รักษาความดันโลหิตสูง
        -ใช้รักษาโรคบิดจากแบคทีเรียอย่างฉับพลัน
        -บรรเทาอาการช่องคลอดอักเสบจากเชื้อ  “ไตรโคโมตาด”  (Tricomonase)


การนำน้ำผึ้งไปผสมกับสมุนไพร
    สมุนไพรบางชนิดมีรสขม  เมื่อนำมาผลิตเป็นอาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะทำให้รับประทานค่อนข้างยาก  สำหรับคนไทยจึงได้มีการนำน้ำผึ้งไปผสมในผลิตภัณฑ์นั้นๆด้วย  ซึ่งจะไม่มีผลต่อการทำให้คุณค่า  คุณภาพของสมุนไพรนั้นลดลง  แต่จะกลับเพิ่มคุณค่าสารอาหารและมีรสชาติหอมหวานรับประทานได้ง่ายดียิ่งขึ้น

โสมซานชีสกัด ชนิดน้ำ 350 มล.
โสมซานชีสกัด ชนิดน้ำ 350 มล.
โสมซานชีสกัด ชนิดน้ำ 350 มล.
เงื่อนไขอื่นๆ

 

 

 

Tags

วิธีการชำระเงิน

บมจ. ธนาคารกสิกรไทย สาขาย่อยเอสพละนาด รัชดาภิเษก ออมทรัพย์
พูดคุย-สอบถาม